มาริกะ อิโต x ยูมิ คาวาอิ x คิราระ อิโนริ จาก IT’S a Summer Film! (เกือบจะไม่ได้) ฉายแล้วหน้าร้อนนี้

Q. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อได้รับการเชิญชวนให้มาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้?

อิโต: ก่อนหน้านี้ ฉันเคยร่วมงานกับผู้กำกับมัตสึโมโตะและคุณมิอุระค่ะ ในช่วงที่เราถ่ายทำละครกันอยู่มีการพูดคุยกันว่ามีบทอะไรให้ฉันเล่นบ้าง นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉันมีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับและคุณมิอุระ รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของทั้งคู่ค่ะ

คาวาอิ:  ฉันผ่านการออดิชั่นมาค่ะ ผู้กำกับมัตสึโมโตะเป็นคนสุขุม อีกทั้งฉันยังรู้สึกสนุกที่ได้แสดงบทนี้ด้วยจึงอยากเล่นบทนี้มากจากใจเลยค่ะ ฉันจึงดีใจมากๆที่ได้รับเลือกให้เล่นบทนี้ค่ะ

อิโนริ ฉันก็ไปออดิชั่นด้วยค่ะ แต่พูดตามตรงว่าทำได้ไม่ดีเลย ช่วงก่อนที่ผลจะออกเลยรู้สึกเสียดายมากเลย ตอนรู้ว่าได้มาเล่นบทบลูฮาวายก็ดีใจมากๆเลยค่ะ จนตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ถ่ายทำค่ะ

Q. ความรู้สึกหลังได้อ่านบทภาพยนตร์?

อิโต: ตอนที่ได้รับบทมาอ่าน ฉันรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันสนุกมาก เรื่องราวเหล่านี้จะกลายมาเป็นสิ่งเคลื่อนไหวโดยไม่ทำลายจินตนาการที่คุณมิอุระวาดเอาไว้ได้อย่างไร ค่อนข้างกังวลว่าจะเล่นบทฮาดาชิได้ดีไหม

คาวาอิ: ตอนที่ฉันได้รับบทเป็นครั้งแรก ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ระหว่าง Sci-Fi ละครประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของเด็กม.ปลาย ออกมาได้อย่างไร นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณมิอุระที่มีจินตการแบบไม่เหมือนใคร  ฉันเดาไม่ออกเลยว่าผู้กำกับจะให้แสดงและกำกับมันออกมาเป็นอย่างไร ตั้งตารอเลยค่ะว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

อิโนริ: เมื่อฉันจินตนาการถึงตัวละครในขณะที่อ่านบท ฉันรู้สึกเหมือนตัวละครแต่ละตัวมีชีวิตอยู่ ฉากที่ทุกคนสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวานั้นทรงพลัง (ถึงแม้จะเป็นบทก็ตาม) ทำให้รู้สึกสมจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนท้าย ฉันว่ามันต้องเกินจากที่ฉันจินตการเอาไว้แน่ๆ คิดไม่ตกเลยค่ะว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

Q.ความรู้สึกหลักได้ดูภาพยนตร์เวอร์ชั่นสมบูรณ์แล้ว 

อิโต:ช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายทำร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆมันถูกสะท้อนออกมาอย่างสมบูรณ์แบบในภาพยนตร์ และภาพของแก๊งพวกเราที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดูมีความสุขจริงๆ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้รับบทสำคัญแบบนี้ ตอนดูจบเลยกังวลว่า “จะโอเคไหมนะ” อยุ่เหมือนกันค่ะ

อิโนริ: หลังจากดู End credit จบ สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ “อยากเห็นหน้าผู้กำกับมัตสึโมโตะ” นี่เป็นภาพยนตร์ที่ฉันสามารถจินตนาการได้แม้กระทั่งอนาคตถัดจากฉากสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้รับความกล้าจากภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ฉันรู้สึกอยากแสดงความขอบคุณต่อผู้กำกับเลยค่ะ ความรู้สึกต่อมาคือ “อยากเห็นหน้ามาริกะจัง” มันเอ่อล้นออกมา ความรู้สึกต่างๆที่มาริกะจังใส่ลงไปในตัวละครนี้มันจะต้องสื่อไปถึงท่านผู้ชม ผลงานเรื่องนี้นี้เป็นเรื่องราวที่ถูกดึงขึ้นโดยฮาดาชิที่แสดงโดยมาริกะจัง

คาวาอิ: ฉันรู้สึกรักทุกตัวละครในเรื่องเลยค่ะ ทุกคนทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มที่แม้จะอ่อนประสบการณ์จนรู้สึกอยากเชียร์ขึ้นมาเลย คำพูดของผู้กำกับมัตสึโมโตะที่ว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ปูขึ้นเพื่อฉากสุดท้ายของเรื่อง” และมันเป็นฉากสุดท้ายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มันเกินจินตนาการของฉันไปอีก ไม่รู้ว่าฉันจะอวยหนังที่ตัวเองแสดงมากไปรึเปล่า เป็นอีกผลงานที่ขึ้นหิ้งไปเลยค่ะ

Q. ฮาดาชิ (เท้าเปล่า ) , โฟมว่ายน้ำ และ บลูฮาวาย เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณแสดงตัวละครนี้ออกมาอย่างไร

อิโต: ฉันเรียนรู้จากการดูผลงาน อาทิเช่น “Zatoichi” ค่ะ จะให้อธิบายเป็นคำพูดก็ยากแต่ฉันพอเข้าใจว่าทำไมบทนี้ถึงเหมาะกับฉัน จึงสร้างลักษณะการพูดและท่าทางของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องตกลงกับผู้กำกับก่อนเลยค่ะ ฉันพยายามคิดให้น้อยลงแล้วดึงส่วนที่คล้ายคลึงกับตัวเองออกมาให้เป็นธรรมชาติค่ะ อ๋อ อีกอย่างคือปล่อยคิ้วให้รกเข้าไว้ค่ะ…

คาวาอิ: ตอนที่ฉันอ่านบท ฉันคิดว่าโฟมว่ายน้ำเป็นคนที่ปกติมากที่สุดในบรรดาสามคน เป็นตัวละครที่ถ่วงสมดุลระหว่างฮาดาชิผู้ผลีผลามกับแก๊งฮาดาชิที่สะเปะสะปะ แต่ในวันที่เราฟิตติ้งกัน ด้วยฝ้ากระและแว่นตาทำให้เธอมีภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ผู้กำกับบอกกับฉันว่า “ผมต้องการให้ 3 คนประหลาดมาอยู่ด้วยกัน” จะว่าไปฉันคิดว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ใช่เด็กที่อยู่กลางห้องเรียนแน่ๆ  แทนที่จะให้มีภาพจำเป็นคนปกติในกลุ่มที่ดูใจเย็น เป็นคนที่เฟอะฟะ วิ่งท่าประหลาดๆ จะดีกว่า

อิโนริ: บลูฮาวายเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง จนความรู้สึกนั้นมันระเบิดออกไปในทางที่ประหลาด มีความหลุดโลกไปบ้างแต่ฉันมองว่าน่ารักดีนะ เมื่ออยู่กับทุกคนแล้วเป็นคนสนใจคนรอบข้าง และมักจะตระหนักในสิ่งที่คนอื่นไม่สังเกตุ  ถ้าทุกคนมีความสุขเธอก็สุข ถ้าทุกคนทุกข์เธอก็ทุกข์  เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆทุกคน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ได้สร้างอะไรเป็นพิเศษ เพราะนี้เป็นตัวละครที่ทุกคนรอบข้างสร้างขึ้นมาค่ะ

Q. มีฉากที่น่าประทับใจมากมาย แต่ฉากโปรดของคุณคืออะไร?

อิโต: ฉันชอบทุกฉากเลยค่ะ เลือกไม่ถูก แต่ถ้าให้บังคับ คงจะเป็นฉากฐานลับ เหมือนฝันที่ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่โปรดปรานในพื้นที่เล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่ตัวเองชอบ นอกจากนี้ยังมีฉากสำคัญๆ มากมายที่ฉากฐานลับ เช่น ฉากที่ได้พบและทำความรู้จักกับรินทาโระ และฉากที่ฮาดาชิหมกมุ่นกับการทำภาพยนตร์ด้วย

คาวาอิ: ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือฉาก ภาพวาดงานตัดต่อ การตัดต่อเป็นส่วนที่ “เงียบ” ที่สุดในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ แต่กลับมีเรื่องราวในนั้น และถูกเขียนออกมาได้น่าสนใจ เป็นฉากที่อยากวนดูซ้ำเลยค่ะ

อิโนริ: ฉันก็คล้ายๆกับทั้งสองคนค่ะ ฉันชอบฉากที่สมาชิกแก๊งฮาดาชิรวมตัวกัน ได้เห็นพัฒนาการของตัวละครที่มารวมตัวกัน ยังคิดอยู่เลยว่า อ๋อในหนังมันเริ่มแบบนี้เอง

อิโต: ที่เหลือเป็นฉากที่กลุ่ม Hadashi ต่อสู้ในเทคเดียว ตอนดูรู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะ ตั้งแต่ตอนเตรียมตัวก่อนจนเริ่มถ่าย เราถ่ายทำแบบไม่มีคัทเลยเป็นการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมมาก คิดว่าผู้ชมคงสัมผัสได้ถึงความเร็วในฉากนี้

Q: ช่วงเวลาที่ถ่ายทำคือฤดูร้อนเหมือนกับในเรื่องเลย ขณะถ่ายทำมีเหตุการณ์ใดที่ลืมไม่ลงบ้างไหม

อิโต: ช่วงที่ถ่ายทำพวกเราอาศัยกันเหมือนเข้าค่ายเลยค่ะ มีออนเซนที่มีชื่อเสียง ใกล้ๆโรงแรมที่พวกเราพักอยู่ วันที่เราเหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายทำก็พากันไปแช่ออนเซนกัน 3 คน ตอนที่ฉันกำลังจะก้าวลงไปในอ่างน้ำร้อน น้ำมันร้อนเกินกว่าจะเอาตัวลงไปได้  เราสามคนจึงล่อนจ้อน เดินไปเดินมารอบๆ อ่างอาบน้ำ เป็นความทรงจำที่ดีมากเลยค่ะ

คาวาอิ: ที่ลืมไม่ลงเลยคือเหตุการณ์ที่เราต้องหยุดถ่ายทำ (เนื่องจากCOVID-19) ในตอนนั้นไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ บรรยากาศรอบข้างตึกเครียด จน คุณชุนยะ อิตาบาชิที่รับบทเป็น Daddy Boy ก็พูดขึ้นมาว่า “เอาหน่า” แบบตัวละครที่เขารับบทอยู่ แล้วพูดต่อว่า “มืดแล้วหนิช่วยไม่ได้เนอะ” ต้องขอบคุณเขามากเลยค่ะ บรรยากาศในตอนนั้นผ่อนคลายขึ้นมาทันทีเลย

อิโนริ: หนังเรื่องนี้เป็นผลงานที่รู้สึกว่าทุกคนเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่ะ การถ่ายทำหยุดชะงักลงในตอนที่การทำงานเป็นทีมและไฟในการทำงานของแก๊งฮาดาชิกำลังอยู่ในจุดสูงสุด ดังนั้นฉันจึงเห็นภาพทับซ้อนตอนดูภาพยนตร์ เราหยุดการถ่ายทำไปถึง2เดือน หลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไป ฉันมีมีความกังวลว่าจะสามารถพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นได้ไหม จะรื้อฟื้นบรรยากาศของแก๊งฮาดาชิทั้งสามคนนั้นได้รึเปล่า แต่พอเปิดใจคุยกับมาริกะจังและยูมิจัง พวกเขาต่างก็รู้สึกเหมือนกัน จากนั้นเราสามคนก็เตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำใหม่ ฉันมั่นใจว่าหากเราสามคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกันงานนี้จะออกมาดีแน่นอน

Q อยากให้คนกลุ่มไหนมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้บ้าง มีอะไรอยากฝากถึงคนดูบ้างไหม

อิโต: ฮาดาชิ เป็นเด็กที่จะยืนอยู่แถวหน้าสุด แล้วพูดกับทุกคนว่า “มาสร้างด้วยกันเถอะ”  ฉันคิดเสมอว่าจะเล่นบทนี้อย่างไรให้เป็นฮาดาชิ จนได้รับความร่วมมือจากนักแสดงและทีมงานทุกคน ฉันเผชิญหน้ากับทุกตัวละครในฐานะฮาดาชิ  หวังอย่างยิ่งว่ามันจะสื่อไปถึงผู้ชม คิดว่าหนังเรื่องนี้เปรียบเสมือน “ความทรงจำ” ที่ทุกคนเคยมี ตอนมัธยมนี่แหละที่เราสามารถลองทำสิ่งที่ต้องการได้เป็นครั้งแรก ฉันเชื่อว่าช่วงวัยรุ่นทุกคนต้องเคยมีความทรงจำอะไรแบบนั้นอยู่ ผลงานเรื่องนี้จะทำให้คุณนึกถึงวันวานเหล่านั้น และจะดีใจอย่างมากถ้ามันได้ถูกส่งไปถึงผู้ชมจำนวนมากค่ะ

คาวาอิ: มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ ฉันคิดว่าเด็กวัยรุ่นวัยมัธยมต้นและนักเรียนมัธยมปลายที่อยากสร้างภาพยนตร์ มาดูแล้วจะเกิดไฟในตัวเองไม่น้อย ในอนาคตโลกของเราอาจจะไม่เหลือภาพยนตร์แล้ว วีดีโอ 5 วินาทีจะกลายเป็นสิ่งมาตราฐาน แต่ทุกวันนี้มีช่องทางรับชมภาพยนตร์ที่หลากหลายมากขึ้น วันหนึ่ง นี่อาจไม่ใช่เรื่องในโลกของนวนิยายจริงแล้วก็เป็นไปได้  ดังนั้น ฉันคิดว่าคนที่รักภาพยนตร์ได้ดูผลงานชิ้นนี้แล้วจะมีความรู้สึกร่วมกันค่ะ อีกทั้งงานนี้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ เรื่องที่ “ตัวเอกของเรื่องย้อนเวลามาจากอนาคต” นั้นวิเศษมากเหมือน ภาพยนตร์เนื่อง  “Back to the Future” และ “My Neighbor Totoro” ที่ฉันเคยดูตอนเด็กๆ หวังว่าหนังเรื่องนี้จะช่วยเติมเต็มความฝันให้ใครหลายๆคนค่ะ

อิโนริ : อยากให้คนหลายช่วงวัยมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ โดยเฉพาะคนที่มีความคิดอยากจะสร้างอะไรสักอย่างอาจจะจุกได้เลย การคิดริเริ่มอะไรสักอย่าง มักจะมาจาก “เพราะชอบ เลยอยากทำแบบนั้น” ฉันคิดว่าเพราะความชื่นชอบนี่แหละเป็นพลังให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้คนที่มีเป้าหมายหลากหลายมารวมตัวกันด้วยความรู้สึก “อยากสร้างภาพยนตร์” จนกลายเป็นพลังอันหนึ่งเดียว แค่นั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้วค่ะ เหมือนได้รับความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง ผลงานนี้เข้าฉายในยุคที่สังคมรอบตัวของเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ฉันว่ามันต้องมีความหมายแฝงอะไรอยู่แน่นอน ภาพยนตร์อาจไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต แต่สำหรับฮาดาชิและทุกคนที่ปรากฏในผลงานชิ้นนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายเป็นแหล่งกำเนินพลังไปแล้ว พอดูผลงานเรื่องนี้แล้วรู้สึกอยากฝากความหวังไว้กับโลกภาพยนตร์อีกครั้งค่ะ

17 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์

ตัวอย่างภาพยนตร์